ค้นหาบล็อกนี้

10 สุดยอดเกมของ "หงส์แดง" แห่งการคัมแบ็ค

อันดับ 10. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-1 ลิเวอร์พูล (3-4 ลิเวอร์พูลชนะจุดโทษ)
รายการ คาร์ลิ่ง คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ เดือนธันวาคม 2004 )

อัลเลซ, อัลเลซ, ซินาม่า ปงโกลล์ .... ดาวยิงร่างเล็กชาวเฟร้นช์แมน ไม่เพียงแต่ซัดประตูตีเสมอให้กับทีม หลังจากที่ เจอร์เมน เดโฟ หัวหอก "ไก่เดือยทอง" ยิงประตูเบิกร่องให้ทีมจากลอนดอนออกนำไปก่อน แต่ยังรับหน้าที่เพชฌฆาตสังหารจุดโทษเป็นคนสุดท้าย ทำให้บรรดาทัพ "หงส์น้อย" ของ เบนิเตซ (แซต วิธเบรด, และ เดวิด ราเว่น ออกสตาร์ต) เดินหน้าเข้าสู่รอบตัดเชือก บนเส้นทางสู่ คาร์ดิฟฟ์ ต่อไป


อันดับ 9 . ลิเวอร์พูล 2-1 มิดเดิ้ลสโบรช์
รายการ พรีเมียร์ลีก สิงหาคม 2008

นาทีที่ 70 เสียงกองเชียร์ในสนามแอนฟิลด์ ต้องเงียบเสียงลง เมื่อ มิโด้ กองหน้าทีมชาติอียิปต์ ยิงประตูจากระยะไกล ให้ทีมเยือนออกนำไป แบบไม่คาดคิด ก่อนที่สองนักเตะลูกหม้อของ "หงส์แดง" จะสวมบทฮีโร่ ให้กับทีมหลุดรอดความพ่ายแพ้ได้อย่างหวุดหวิด เจมี่ คาร์ราเกอร์ เติม ขึ้นมาซัดแฉลบกองหลังทีมเยือน ประตูเข้าไปเป็นลูกตีเสมอ ก่อนที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีม จะตะบันลูกสุดสวยช่วยให้ "เดอะ เร้ดส์" เก็บ 3 คะแนนสำคัญในบ้านได้สำเร็จ


อันดับ 8. ฟูแล่ม 2-4 ลิเวอร์พูล
รายการ พรีเมียร์ลีก เดือนตุลาคม 2004

หนึ่งในการคัมแบ๊กอันสุดยอดของสโมสร และนับเป็นการเริ่มต้นเกมโกงความตายภายใต้การคุมทีมของ "เอล บอส" การซื้อตัว ชาบี อลอนโซ่ มาจากแดนกระทิงเพื่อมาเชื่อมเกมแดนกลางของทีมแทนที่ ซาลิฟ ดิเยา มิดฟิลด์ชาวเซเนกัล คุ้มค่าอย่างชัดเจน เกมนี้ "หงส์แดง" ถูก "เจ้าสัวน้อย" ออกนำไปก่อนถึง 2-0 ก่อนหมดครึ่งเวลาแรก จาก หลุยส์ บัวมอร์ต แต่ลูกยิงของ มิลาน บารอส, อลอนโซ่, อีกอร์ บิสคาน และลูกทำเข้าประตูตัว เองของ แซต ไนท์ ก็ไม่สายเกินไปที่จะทำให้การโดนไล่ออกของ โฆเซมี นักเตะหน้าใหม่ชาวสแปนิช ส่งผลถึงชัยชนะนอกบ้านเกมแรกนับตั้งแต่ เบนิเตซ มาคุมทีม


อันดับ 7. ลูตัน ทาวน์ 3-5 ลิเวอร์พูล
รายการ เอฟเอ คัพ รอบ 3 เดือน ตุลาคม 2007

แมตช์นี้อาจถูกบันทึกให้เป็นตำนานแจ๊คผู้ฆ่า ยักษ์ในการแข่งขันชิงถ้วยอันเก่าแก่ที่สุดบนเกาะอังกฤษก็เป็นได้ จนเมื่อ ชาบี อลอนโซ่ ซัดลูกไกล กว่า 40 หลา ทำให้สกอร์กลับมาอยู่ที่ 3-3 และยังเหลือเวลาอีก ครึ่งชั่วโมงก่อนจบการแข่งขัน เกมเริ่มต้นเมื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยิงนำให้ทีมดัง
แห่งพรีเมียร์ลีก ออกนำไปก่อนในนาทีที่ 16 แต่แล้ว ลูตัน ซึ่งประสบปัญหาทางการเงิน จนสโมสรแทบจะล้มละลายอยู่รอมร่อ กลับยิงรวดเดียว 3 ประตู อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ทุกอย่างก็กลับมาเข้าทางทีมเยือนอีกหน เมื่อ ฟลอร็องต์ ซินาม่า ปงโกลล์ โหม่งประตูขึ้นนำ 4-3 ก่อนที่ ห้องเครื่อง ทีมชาติสเปน จะปิดท้ายด้วยการตะบันลูกไกลกว่า 60 หลา ยัดบันทึกแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ เก็บใส่กระเป๋าไปก่อนในรอบนี้



อันดับ 6. บาร์เซโลน่า 1-2 ลิเวอร์พูล 
(รวมสองนัด ลิเวอร์พูลเสมอ 2-2 เข้ารอบตามกฎประตูทีมเยือน)
รายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อคเอาต์ รอบสอง เดือนกุมภาพันธ์ 2007

ศึกครั้งสำคัญของ ลิเวอร์พูล เริ่มเดือดตั้งแต่เสียงนกหวีดจะเริ่มต้น เมื่อ ยอร์น อาร์เน รีเซ่ แบ็กซ้ายตีนผี มีเรื่องกับ เคร็ก เบลลามี่ หัวหอกเลือด ร้อนชาวเวลส์ ทำให้การเก็บตัวที่ คลับ กอล์ฟ คงเป็นเรื่องยากของนักเตะ ลิเวอร์พูล อีกต่อไป และเมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น เดโก้ จอมทัพหน้าตายของ "เจ้าบุญทุ่ม" ยิงประตูให้เจ้าถิ่นออกนำไปก่อนตั้งแต่เริ่มเกม ทำให้ "หงส์แดง" ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากชนะเท่านั้น ถึงจะได้ผ่านเข้าไปเล่นใน รอบต่อไป แต่ใครจะไปเชื่อ ลองเดาดูสิ ว่าใครยิงได้ในเกมนี้ รีเซ่ กับ 
เบลลามี่!!ไง ที่เป็นคนยิงประตูให้กับทีมคว้าชัยชนะ ในเกมที่อัลบาโร่ อาร์เบลัว กองหลังตัวใหม่ รับหน้าที่ล็อกกุญแจ ลิโอเนล เมสซี่ สตาร์ลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ จนไม่มีโอกาสสร้างเกมให้เจ้าบ้านก่อนพ่ายไปในที่สุด


อันดับ 5. ลิเวอร์พูล 2-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
รายการ พรีเมียร์ลีก เดือนกันยายน 2008

สิ่งที่แฟนๆลิเวอร์พูลกลัวที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อ คาร์ลอส เตเวซ ยิงประตูให้ลูกทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ออกนำไปตั้งแต่ไก่ไม่ทันโห่ แต่การทำเข้าประตูตัวเองของ เวส บราวน์ ก่อนหมดครึ่งเวลาแรก ทำให้ทั้งสองทีมยังไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก และเมื่อลูกยิงของ ไรอันบาเบล ปีกชาวดัตช์ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง ลงไปกองในก้นตาข่าย ก็ทำให้ ราฟาเอล เบนิเตซ ทำสถิติชนะ "ปีศาจแดง" ได้เป็นครั้งแรกในลีก ตั้งแต่เข้ามารับงานคุมทีมเมื่อ 4 ปีก่อน!


อันดับ 4. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-3 ลิเวอร์พูล
รายการ พรีเมียร์ลีก เดือนตุลาคม 2008

สิ่งต่างๆเหมือนกับจะแตกสลายไปหมดสิ้น เมื่อ "เรือใบสีฟ้า" ขึ้นนำไปก่อน 2-0 ก่อนหมดครึ่งเวลาแรก แต่การคัมแบ็กหนที่ 4 ในฤดูกาล 2008-2009 ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อ เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกกระทิงดุจัดการ 2 ประตู ก่อนที่ เดิร์ก เค้าท์ กองหน้าคนขยันแปจ่อๆ เป็นประตูชัยให้กับ ทีมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ!


อันดับ 3. เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-3 ลิเวอร์พูล (ลิเวอร์พูลชนะจุดโทษ 1-3)
รายการ เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 2006

หลังจากที่ไล่ตามตีเสมอได้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ก่อนที่จะเอาชนะการดวลลูกที่จุดโทษได้อย่างเหลือเชื่อ เกมชิงดำนัดนี้ก็ถูกบันทึกเข้าไปในหน้าประวัติ ศาสตร์ของคู่ชิง เอฟเอ คัพ ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคู่หนึ่งไปโดยปริยาย "เดอะ เร้ดส์" ตามหลังอยู่ 2-3 และเหลือเวลาอีกไม่กี่วินาที ผู้ตัดสินก็จะเป่านก หวีดมอบถ้วยอันเก่าแก่ให้กับ "ขุนค้อน" ไปเชยชมอย่างเป็นทางการ แต่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตัน "หงส์แดง" ไม่ยอมแพ้ กระหน่ำเต็มข้อจากระยะ 35 หลา บอลพุ่งเข้าเสียบก้นตาข่ายอย่างสวยงาม จนทำให้เกมต้องยืดเยื้อมาถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ และลงเอยด้วยการดวลเป้าหาแชมป์ ซึ่งก็ตก เป็นของ ลิเวอร์พูล อย่างยิ่งใหญ่


อันดับ 2. ลิเวอร์พูล 3-1 โอลิมเปียกอส
รายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เดือนธันวามคม 2004

ลิเวอร์พูล ลงสนามในเกมนี้ด้วยข้อแม้ต้องชนะด้วยผลต่าง 2 ประตู และดูเหมือนว่าเส้นทางสู่ อิสตันบูล ของพวกเขาจะจบลงตั้งแต่รอบนี้ เมื่อริวัลโด้ เพลย์เมคเกอร์ชาวบราซิเลียน ยิงให้ทีมเยือนขึ้นนำไปก่อนจากลูก ฟรีคิก แต่ก็เป็น สตีเว่น เจอร์ราร์ด อีกครั้ง ที่ปลุกหงส์ขึ้นมาจากหลุม ก่อนหมด
เวลาการแข่งขัน 4 นาที หลังจากที่ ซินาม่า ปงโกลล์ และ นีล เมลเลอร์ สองหัวหอกดาวรุ่ง ต่างลุกมาจากม้านั่งสำรอง กระหน่ำประตูจุดประกายความหวังขึ้นมาก่อน และชัยชนะในเกมนี้ เป็นการเริ่มต้นเส้นทางสู่ "แชมป์ยุโรป" สมัยที่ 5 ของยอดทีมจากลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ ในปีนั้น



อันดับ 1. เอซี มิลาน 3-3 ลิเวอร์พูล (ลิเวอร์พูลชนะจุดโทษ 2-3)
รายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ เดือนพฤษภาคม 2005

        ค่ำคืนที่เหลือเชื่อที่สุดของสโมสร ลิเวอร์พูล ทวงตำแหน่งเจ้ายุโรปกลับมาได้อย่างเหลือเชื่อ หลังจากที่โดน "ปีศาจแดงดำ" ออกนำไปในครึ่งแรก 0-3 และทำท่าว่ายอดทีมแห่งแดนมะกะโรนี จะเป็นผู้กำชัยในสนาม อตาเติร์ก สเตเดี้ยม ในเมือง อิสตันบูล ได้แบบไม่มีข้อกังขา แต่ประตูจุดประกายจากลูกโหม่งของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด คนเดิม ทำให้ลูกยิงของ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และ ชาบี อลอนโซ่ ชุบชีวิต "เร้ด แมชชีน" กลับมาจากขุมนรกได้สำเร็จอีกครั้ง

       เกมต้องดำเนินไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ นำไปสู่การสวมบทฮีโร่ของ เจอร์ซี่ ดูเด็ค ที่งัดลูกเซพมหัศจรรย์มาปัดป้องลูกยิงจ่อๆของ อังเดร เชพเชนโก้ รวมถึงท่าเต้นก่อกวนประสาทของเขาระหว่างทำหน้าที่เฝ้าปากประตูในการดวลจุดโทษ ทำให้นักเตะมากประสบการณ์ของ "รอสโซเนรี่" จิตใจหลุดลอย
จนมอบถ้วย "บิ๊กเอียร์" ให้เป็นของขวัญแก่ ลิเวอร์พูล ในท้ายที่สุด